วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หนอนนก

 หนอนนก (Mealworm) เป็นตัวอ่อนของแมลงชนิดหนึ่งชื่อว่า Meal-Beetle มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tenebrio molitor เป็นหนอนที่มีลำตัวสีน้ำตาลอ่อน ผอมยาว มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกยาว และจะเป็นดักแด้ก่อนที่จะกลายเป็นตัวเต็มวัยที่มีลักษณะแบบแมลงปีกแข็ง สีดำ เป็นแมลงศัตรูผลผลิตทางการเกษตรในยุ้งฉางของประเทศแถบหนาวหรือค่อนข้างหนาว เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และวงจรชีวิตช่วงที่เป็นตัวหนอนของแมลงชนิดนี้ยาวมาก จึงนิยมนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ปีก รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงอื่นๆ อย่างแพร่หลาย เป็นแมลงที่ชอบอากาศหนาว และต้องการความชื้นสูง แม้กระนั้นก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับอากาศประเทศไทยได้อย่างดี ในบางประเทศอาจจะมีการบริโภคหนอนนกด้วยนอกเหนือจากการให้เป็นอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งในไทยเองก็มีบางแห่งที่บริโภคหนอนนก แต่ผมเคยได้ยินบางคนก็ว่ากินแล้วคัน ความจริงเป็นเช่นไรอันนี้ไม่ทราบจริงๆ ไม่เคยคิดจะกินเลยครับบอกไม่ถูก กึ๋ย~~

 อาหารหลักที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงคือ รำ ในประเทศเขตหนาวจะใช้รำข้าวสาลีซึ่งให้ผลผลิตดีกว่ารำข้าวเจ้า และหาได้ง่าย แต่ในไทยการใช้รำข้าวสาลีมีการใช้ในวงจำกัดเนื่องจากข้าวสาลีเราต้องนำเข้ามา และมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรำข้าวเจ้าที่สามารถหาได้จากแทบทุกแห่งในไทย แต่รำทั้ง 2 ชนิดที่ใช้ก็ไม่แตกต่างกันมากในแง่ของความคุ้มทุนและผลผลิต ส่วนการเก็บรักษาของผู้เลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่มักให้อาหารสัตว์เม็ดสำเร็จรูป หรือเศษผักเนื่องจากสะดวก และหาง่ายกว่ารำ
วาวน่ากินนะ

มารู็จักต่อหัวเสือกัน

ข้อมูลทั่วไป
            เป็นแมลงที่อยู่ในอันดับ Hymenoptera  ต่อเป็นแมลงที่มีพิษจัดเป็นสัตว์ประเภท Omnivorous คือ เป็นแมลงที่กินสัตว์ เช่น ตัวอ่อนแมลงอื่น ซากสัตว์ เป็นอาหาร และยังจัดเป็นแมลงตัวห้ำ (Predator) อีกทั้งเป็นแมลงที่ดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ต่อหัวเสือมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่อยู่ลำพัง หรืออยู่เป็นรวมกันเป็นแมลงสังคม (Social wasp) ส่วนต่อที่สร้างรังขนาดใหญ่มีหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นรูปทรงกลมใหญ่ มักอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ เช่น ต่อหัวเสือ ต่อรัง ต่อขวด และต่อหลวง ต่อเป็นแมลงพบได้ทุกภาคของประเทศไทย ในประเทศไทย พบ 18 ชนิด
ต่อ ชนิดที่อยู่รวมกันเป็นแมลงสังคม มีการแบ่งวรรณะ ประกอบด้วยเพศผู้ ซึ่งต่อราชินีและต่องาน เป็นเพศเมีย  นักวิทยาศาสตร์พบว่า  ไข่ที่ได้รับการผสมจะเจริญเติบโตเป็นเพศเมีย ส่วนไข่ที่ไม่ได้รับการผสมเจริญเติบโตเป็นเพศผู้
ต่องาน มีหน้าที่หาอาหาร ป้องกันรัง ดูแลราชินี และตัวอ่อนภายในรัง
ต่อราชินีเป็นเพศเมียที่สามารถสืบพันธุ์ได้ ในรังต่อจะมีต่อราชินีที่เป็นแม่ 1 ตัว  จะพบต่อราชินีที่เป็นลูกอีกหลายตัว ส่วนใหญ่แล้วจะพบในช่วงฤดูกาลการผสมพันธุ์เพื่อสร้างรังใหม่
การป้องกันรังของ ต่อหัวเสือ พวกมันจะต่อยพร้อมกับการฉีดพิษ ต่อตัวที่ต่อยได้ ทุกตัวเป็นต่อเพศเมียเท่านั้นเพราะมีเหล็กใน ที่ถูกพัฒนามาจากอวัยวะในการวางไข่ การต่อยนอกจากเป็นการป้องกันตัว ป้องกันรังแล้วต่อบางชนิดยังสามารถใช้ในการล่าเหยื่อโดยการต่อยให้เหยื่อสลบก่อนจะคาบเหยื่อไปกินเป็นอาหารที่รังต่อไป
วงจรชีวิต
                การเจริญเติบโตของ ต่อ ตั้งแต่ตัวอ่อนซึ่งเป็นมีสภาพเป็นตัวหนอน (larva) ฟักออกมาจากไข่ ต้องผ่านระยะตัวหนอน หลายระยะ โดยตัวหนอนมีปากเป็นแบบกัด หนอนในระยะ สุดท้ายจะเริ่ม หยุดกินอาหารและเคลื่อนไหวน้อยลงเรียกหนอนในระยะนี้ว่า ระยะเตรียมเข้าดักแด้ (prepupa or pharate pupa)   จากนั้นจะเข้าดักแด้ (pupation) จนเป็นตัวเต็มวัยมีปีกบินได้นั้น จัดอยู่ในประเภทการลอกคราบ หรือการถอดรูปสมบูรณ์แบบ (holometabolous or complete metamorphosis)  การถอดรูปในลักษณะนี้มักพบได้ในกลุ่มแมลงที่มีวิวัฒนาการสูงวงจรชีวิตมีการพัฒนาการในระยะต่างๆ ที่สำคัญรวม 4 ระยะ คือ ระยะไข่  ระยะตัวอ่อน หรือ หนอน    ระยะดักแด้    ระยะตัวเต็มวัย
ลักษณะตัวเต็มวัย
            ต่อหัวเสือ ลำตัวมีสีดำแต้มด้วยสีเหลือง หรืออาจมีสีน้ำตาล ท้องมีแถบสีส้มปนเหลืองเห็นได้ชัดเจน มีขนาดลำตัว 2.7 -3.50  เซนติเมตร มีปีกสีน้ำตาลบางใส 2 คู่ ปีกคู่หลังมีขนาดเล็กกว่าปีกคู่หน้ามาก มีเขี้ยวที่กางออกทางข้าง 2 ข้าง ต่อหัวเสือ เป็นแมลงนักล่าที่น่าเกรงขาม สีเหลืองของมันบ่งบอกถึงภัยอันตราย สีดำแทนความแข็งแกร่งอดทนต่อหัวเสือ
รังต่อหัวเสือ จะร้างราวช่วงเดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม เนื่องจากเมื่อนางพญาหมดอายุขัย และนางพญาใหม่ที่เกิดขึ้น จะออกหาคู่ และไปสร้างอาณาจักรของพวกมันเอง ทิ้งพี่ๆน้องๆของมันให้ผจญชะตากรรม จากสภาพที่ไร้ผู้ปกครอง ที่รอแต่จะแตกสลายไปในเวลาไม่นาน 
ญาติของมัน ต่อหัวเสือหลุม (V.tropica) มีพฤติกรรมนักล่าที่ดุดันกว่าต่อหัวเสือมาก  มักเข้าจู่โจมรังต่อหัวเสือบ้าน และ รังของแตน เพื่อล่าเอาตัวอ่อนไปเป็นอาหาร จนทำให้ต่อหัวเสือบ้าน และแตน แตกรัง ต้องทิ้งรังไปสร้างที่อยู่ใหม่ เรา จึงมักพบต่อหลุมบินอยู่บริเวณบ้านด้วยเช่นกัน

สามารถแบ่งการเป็นพิษจากตัวต่อได้เป็น 3 ลักษณะ ตามกลไกการเกิดพิษ คือ
1.   การเป็นพิษโดยตรง (direct toxicity) ของพิษต่อเนื้อเยื่อต่างๆทั้งที่เป็นเฉพาะที่ (local) และทั่วร่างกาย (systemic)
2.   ปฏิกิริยาภูมิต้านทาน (immunological reaction) เกิดจากการกระตุ้น mast cell , การสร้าง IgG , IgE ทำให้เกิด serum sickness และ anaphylaxis
3.   กลไกที่ยังไม่ทราบ เช่น การทำอันตรายต่อระบบ ประสาท , หลอดเลือดและไต 

การรักษาอาการพิษจากแมลงใน Order Hymenoptera (ผึ้ง  ต่อ  แตน)
เมื่อได้รับพิษให้ประคบด้วยน้ำแข็ง หรือให้ยาระงับอาการปวด ให้รับประทานยาแก้แพ้(Antihistamine) และ corticosteroid เพื่อลดอาการอักเสบและอาจให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนด้วยก็ได้ ในบางรายที่มีอาการรุนแรงให้รีบนำส่งโรงพยาบาลความรุนแรงของพิษนั้น จะผันแปรตามจำนวนแผลที่ถูกต่อย ปริมาณพิษที่ได้รับต่อน้ำหนักตัว อายุ และประวัติการแพ้
การรักษาเมื่อได้รับพิษจากแมลงกัดต่อย หากพิษไม่มีความรุนแรง เช่น มีอาการผื่นคัน มีตุ่มน้ำ เป็นจุดแดงๆ เล็กๆ หรือมีอาการคัน ก็อาจใช้สมุนไพรบรรเทาอาการได้ เช่น ขมิ้นชัน ตำลึง  ผักบุ้งทะเล พญายอ เสลดพังพอน

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

เเมงป่อง

แมงป่องมีกี่ชนิด
ในเมืองไทย ปัจจุบันพบแมงป่อง 11 ชนิด แต่คาดว่าน่าจะมีมากกว่านี้
แมงป่องที่รู้จักกันทั่วไปน่า จะเป็น ” แมงป่องช้าง ” ทั่วโลกพบประมาณ
1,100 ชนิด

ถิ่นอาศัยเป็นแบบไหน
ถิ่นอาศัยของแมลงป่องมีตั้งแต่ในทะเลทรายถึงป่าเขตร้อนชื้น
สามารถพบแมงป่องในสถานที่หลากหลายเช่นกัน เช่น ใต้ขอนไม้
ใต้เศษไม้ใบหญ้า และฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เป็นต้น
แมงป่องกินอะไร (อาหารของแมงป่อง)
อาหารของแมงป่องจะขึ้นอยู่กับชนิดของแมงป่อง
แต่เนื่องจากแมงป่องส่วนใหญ่เป็นสัตว์ประเภท “นักล่า”
อาหารโดยทั่วไปจึงเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่าตัวมันเอง
ที่สามารถจับได้ แต่อย่างไรก็ตามแมงป่องบางชนิดจะมี
พฤติกรรมการล่าที่จำเพาะเจาะจง
เช่น แมงป่องอาฟริกาชอบกินกิ้งกือ
พฤติกรรมของแมงป่อง
เป็นการยากที่จะระบุลักษณะเฉพาะของพฤติกรรมปกติของแมงป่อง
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิด และแต่ละตัว โดยทั่วไปสามารถบอกได้ว่า
แมงป่องมีนิสัยเป็นนักล่า แมงป่องหลายชนิดชอบล่าในเวลากลางคืน
แมงป่อง ป้องกันตัวโดยใช้เหล็กไนที่ปลายหาง แทงศัตรู ทำให้เกิดการเจ็บปวด
ในธรรมชาติ แมลงป่องจะอาศัยอยู่เดี่ยว ๆ แต่มีบางชนิดที่นำมาเลี้ยงรวมกันได้
โดยไม่กินกันเอง
การสืบพันธุ์เพิ่มปริมาณแมงป่อง
แมงป่องเป็นสัตว์ที่มีเพศผู้และเพศเมีย (เช่นเดียวกับสัตว์ชนิดอื่น ยกเว้นบางชนิด)
การสืบพันธุ์เพิ่มจำนวนต้องมีการจับคู่ผสมพันธุ์ ของตัวผู้และตัวเมีย
การจับคู่ผสมพันธุ์ของแมงป่องเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากซึ่งมีลักษณะเฉพาะ
ในการเกี้ยวพาราสีระหว่างตัวผู้กับตัวเมีย (courtship dance)
ตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อลงดิน และเคล้าเคลีย ชักนำตัวเมียมาที่บริเวณนั้น
เพื่อนำน้ำเชื้อ ต่อมาอาจใช้เวลาเป็นปีในบางชนิด
ตัวเมียจะให้กำเนิดลูกเป็นตัวอ่อนแล้วจะเลี้ยงลูกโดยให้ลูกแมงป่องตัวเล็ก ๆ
จำนวนมากเกาะอยู่บนหลังเต็มเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่ลูกแมงป่อง
เหล่านั้นเคลื่อนย้ายกระจายออกไมเคยเห็นแมงป่องออกลูกไหม

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มารู้จักเเมลงวันกัน

แมลงวันคืออะไร
   แมลงวันเป็นแมลงที่ลำตัวขนาดเล็กถึงปานกลาง มีปีก 2 ปีก โดยทั่วไปคนจะรู้จักแมลงวันที่อยู่ใกล้ชิดในชีวิตประจำวันของคน คือ แมลงวันบ้าน และแมลงวันหัวเขียว แต่ความจริงยังมีแมลงวันอีกมากมายหลายชนิดเช่น แมลงวันหลังลาย ริ้นดำ ริ้นน้ำเค็ม ริ้นฝอยทราย เหลือบม้า และเหลือบกวาง
วงจรชีวิตของแมลงวันเป็นอย่างไร
   แมลงวันส่วนมากออกลูกเป็นไข่ ต่อจากนั้นเจริญเป็นหนอนแมลงวัน และระยะดักแด้ จนในที่สุดกลายเป็นตัวเต็มวัย วงจรชีวิตของแมลงวันตั้งแต่ไข่จนเป็นตัวเต็มวัยกินเวลาประมาณ 8-10 วัน
แมลงวันบ้านมีลักษณะอย่างไร
    แมลงวันบ้านตัวเต็มวัยมีลำตัวยาว 7-9 มิลลิเมตร สีเทาดำ ไม่สะท้อนแสง ตาเป็นลักษณะตาประกอบ ส่วนปากดัดแปลงสำหรับการดูดอาหารที่เป็นของเหลวหรือกึ่งเหลว ในขณะที่ไม่กินอาหารปากจะหดเข้าไปอยู่ในส่วนหัว แต่ขณะกินอาหารปากจะยืดยาวออกมา ส่วนอกด้านหลังมีแถบดำ 4 เส้น ขามี 3 คู่ โดยปกติตัวเมียวางไข่เป็นกลุ่มประมาณ 120 ฟอง ในสภาพธรรมชาติจะสามารถวางไข่ได้ 1-2 ครั้ง แมลงวันมีอายุขัยประมาณ 14-70 วัน แมลงวันบ้านมีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Musca domestica
แมลงวันหัวเขียวมีลักษณะอย่างไร
     แมลงวันหัวเขียวมีรูปร่างคล้ายแมลงวันบ้านแต่มีลำตัวขนาดใหญ่กว่าแมลงวันบ้าน โดยมีความยาวตั้งแต่ส่วนหัวถึงปลายส่วนท้องประมาณ 8-11 มิลลิเมตร ลักษณะเด่นคือลำตัวส่วนอกและท้องมีความมันวาวสะท้อนแสงสีเขียว ทำให้คนเรียกแมลงวันชนิดนี้ว่าแมลงวันหัวเขียวทั้งๆที่ส่วนเขียวเป็นส่วนอกและท้อง อย่างไรก็ตามสีของแมลงวันหัวเขียวมีความแตกต่างกันไปในแมลงวันหัวเขียวแต่ละชนิด ได้แก่สีเขียว น้ำเงิน ม่วง ทองแดง แมลงวันหัวเขียวตัวเมียจะวางไข่ครั้งละประมาณ 250 ฟอง จำนวนไข่มากหรือน้อยขึ้นกับชนิดของแมลงวัน แมลงวันหัวเขียวที่พบมากที่สุดในประเทศไทยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Chrysomya megacephala (Fabricius)
แมลงวันหากินอย่างไร

     แมลงวันทำให้เกิดความรำคาญเนื่องจากมันบินมาตอมคนและอาหาร นอกจากนี้เป็นพาหะนำเชื้อโรคหลายชนิด โดยที่แมลงวันหัวเขียวสามารถเป็นพาหะนำโรคได้มากกว่าแมลงวันบ้าน เชื้อที่สำคัญที่สามารถนำโดยแมลงวันได้แก่ เชื้ออหิวาตกโรค เชื้อบิด เชื้อไข้รากสาดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหารและไข่พยาธิบางชนิดได้ โดยเชื้อโรคหรือไข่พยาธิจะติดตามตัวแมลงวัน เช่น ขา ปาก ลำตัว ซึ่งปกคลุมไปด้วยขนมากมาย เชื้อโรคบางชนิดสามารถเข้าไปอยู่ในทางเดินอาหารของแมลงวัน และสามารถถูกขับถ่ายหรือสำรอกออกมาขณะที่แมลงวันตอมอาหาร ตัวอ่อนของแมลงวันทำให้เกิดโรคได้เช่นกันจากการที่ตัวอ่อนไชเข้าไปตามเนื้อเยื่อของคน 

  แมลงวันกินอาหารได้หลายชนิด แมลงวันบ้านชอบกินอาหารที่เป็นแป้งแต่แมลงวันหัวเขียวชอบกินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ แมลงวันอาจหากินตามกองขยะ เศษอาหาร หรือตอมอาหารของคน ตัวเต็มวัยชอบหากินเวลากลางวัน ไม่ชอบแสงแดดจัด รัศมีการหากินอยู่ในวงประมาณ 3 กิโลเมตร
แมลงวันทำให้เกิดโทษอย่างไร
แมลงวันมีประโยชน์หรือไม่
     แมลงวันมีประโยชน์ต่อมนุษย์เช่นกัน แม้จะน้อยกว่าโทษของแมลงวัน ในบางท้องที่พบว่าแมลงวันสามารถช่วยผสมเกษรดอกไม้ แพทย์บางแห่งใช้หนอนแมลงวันช่วยในการรักษาแผลเน่าเปื่อยในคน โดยให้หนอนแมลงวันขนาดเล็กกัดกินเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว ทำให้แผลหายเร็วขึ้น นอกจากนี้การพบตัวอ่อนของแมลงวันในศพสามารถช่วยในการชันสูตรศพ ไม่ว่าการช่วยประมาณระยะเวลาตาย หรือการหาสาเหตุของการตายในบางกรณีได้
การควบคุมแมลงวันทำได้อย่างไร
     วิธีการควบคุมแมลงวันที่ดีที่สุดคือการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้ถูกสุขลักษณะ ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวันได้แก่กองขยะ เศษอาหาร หรือมูลสัตว์ตามคอกปศุสัตว์ ซึ่งต้องมีการทำลายอย่างมีระบบไม่ทำให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีวิธีการกำจัดแมลงวันตัวเต็มวัยโดยใช้กรงดักแมลงวัน ใช้กาวเหนียวล่อจับแมลงวัน การใช้ลวดไฟฟ้าฆ่าแมลงวัน การใช้ไม้ตีแมลงวัน การใช้เหยื่อพิษ และการใช้ยาฆ่าแมลงเพื่อควบคุมประชากรแมลงวัน

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มารู้จัก ตั๊กเเตนตำข้าวกันเต้อะ


       ตั๊กแตนตำข้าวมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Praying Mantis

เป็นแมลงขนาดค่อนข้างใหญ่ มีความยาวประมาณ 6-8 เซนติเมตร

เป็นนักล่าที่เก่งกาจ มีสายตาดีมาก และสามารถหมุนรอบตัวได้ถึง 180 องศา

ขาคู่แรกของมันมีลักษณะคล้ายเคียว ทำให้จับเหยื่อได้อย่างแม่นยำ

อาหารของตั๊กแตนตำข้าวคือแมลง แต่บางครั้งมันก็กินกบ กิ้งก่า หรือนกขนาดเล็กด้วย
                  ตั๊กแตนตำข้าวมักแอบซุ่มล่าเหยื่อบนกิ่งไม้หรือพงหญ้า

เวลาจู่โจมเหยื่อ มันจะชูขาหน้าคู่แรกขึ้น แล้วตวัดขาใส่เหยื่ออย่างรวดเร็ว

แต่ถ้าถูกคุกคามหรือเจอศัตรู มันจะกางขาออก ทำให้ดูตัวใหญ่ขึ้น
                      ตั๊กแตนตำข้าวมีหลายชนิด ส่วนมากมีสีเขียว แต่บางชนิดมีสีน้ำตาล

           

           ส่วนเรื่องการผสมพันธุ์ ตามธรรมชาติแล้ว ตั๊กแตนตำข้าวตัวเมียจะฆ่าตัวผู้ที่เป็นคู่ผสมพันธุ์

เมื่อถึงเวลาผสมพันธุ์ ตัวเมียจะปล่อยกลิ่นพิเศษดึงดูดตัวผู้

เมื่อตัวผู้พบตัวเมีย มันจะไม่ผลีผลามเข้าไปใกล้ แต่จะรออยู่นิ่งๆ ก่อน

เมื่อสบโอกาสจึงจะกระโดดเกาะหลังตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์

หลังจากผสมพันธุ์เสร็จ ตัวผู้ต้องรีบหนีให้เร็วที่สุด เพราะตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่ามันมาก

และจะดุร้ายสุดๆ ในช่วงผสมพันธุ์

เมื่อผสมพันธุ์แล้ว ตัวเมียจะใช้ขาหน้าจับตัวผู้ไว้ แล้วกินทั้งตัว

บางครั้ง ตัวเมียจะกินตัวผู้ตั้งแต่ยังผสมพันธุ์กันอยู่ (อึ๋ย น่ากลัวอะ)

แต่เนื่องจากระบบประสาทของตั๊กแตนตำข้าวไม่ได้อยู่ที่หัว มันจึงผสมพันธุ์ต่อไปได้ (น่ากลัวมาก)

ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ตัวเมียจะวางไข่ ซึ่งภายในไข่ จะมีไข่อีกประมาณ 300-400 ฟอง

และเมื่อฟักแล้ว ตั๊กแตนตัวลูก ต้องลอกคราบประมาณ 6-7 ครั้ง จึงจะโตเต็มวัย


ว่าแต่ว่า น่ากลัวสุดเรื่องผสมพันธุ์นี่แหละน้า

นอกจากนี้มันมีลำตัวและขายาว มีปีกสองคู่ ส่วนหัวมีขนาดเล็ก เป็นรูปสามเหลี่ยมคว่ำ

มีปากแบบกัดที่แข็งแรงมาก ขาคู่แรกมีหนามแหลมคมเรียงเป็นแถว เป็นอาวุธร้ายโจมตีศัตรู

ส่วนขาคู่หลังเรียวยาว ทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างว่องไว
                            

มารู้จัก ตั๊กเเตนใบไม้ กันเต้อะ

        ตั๊กแตนใบไม้เป็นแมลงที่อยู่ในอันดับ Phasmatodea แมลงในอันดับนี้ คือพวกตั๊กแตนกิ่งไม้และตั๊กแตนใบไม้ ลักษณะเด่นประการหนึ่งคือ เป็นแมลงที่ไม่ค่อยว่องไว มีการเคลื่อนที่ช้า และไม่กระโดด (Triplehorn and Jonhson, 2005) มีหลายชนิดในประเทศไทย 
       
         ตั๊กแตนใบไม้อยู่ในสกุล Phyllium  มีลักษณะรูปร่างน่าสนใจมาก พวกมันมีรูปร่างเหมือนใบไม้และลวดลายบนตัวที่เหมือนกับเส้นใบของใบไม้ ทำให้ดูกลมกลืนกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นการแสดงพฤติกรรมการดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด (ลอเรนซ์ เมาน์, 2536)  ตั๊กแตนใบไม้เป็นตัวอย่างที่ดีในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ด้านการป้องกันตัว โดยใช้เทคนิคการพรางตัว เป็นตัวอย่างที่ดีของความสัมพันธ์เชิงวิวัฒนาการระหว่างสัตว์และพืช ที่มีวิวัฒนาการมานานกว่า 47 ล้านปี ตั๊กแตนใบไม้จึงถูกนำไปใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ทางธรรมชาติวิทยา ชีววิทยา ตลอดจนใช้ในการนันทนาการและการนำไปเลี้ยงเพื่อปลูกจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ ตั๊กแตนใบไม้เป็นแมลงอีกชนิดที่มีการซื้อขายกันด้วยราคาสูง จึงเป็นแรงจูงใจให้มีการจับแมลงดังกล่าวจากธรรมชาติ ทั้งที่มีชีวิตและตายแล้ว เพื่อนำไปขายให้กับนักสะสมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ตั๊กแตนใบไม้เริ่มตกอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการคุกคาม (กองบรรณาธิการ, 2548) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เล็งเห็นถึงความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของตั๊กแตนใบไม้ในสกุลนี้ จึงจัดให้ตั๊กแตนใบไม้ทั้งสกุลอยู่ในบัญชีสัตว์ป่าที่กำหนดให้การนำเข้าหรือส่งออกซึ่งซากหรือตัวที่มีชีวิต ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (กลุ่มงานวิจัยกีฏวิทยาและจุลชีววิทยาป่าไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, 2535)


            ไข่ตั๊กแตนใบไม้มีสีชมพูอมน้ำตาล ลักษณะคล้ายเมล็ดพืชบางชนิด ทรงเหลี่ยม ขนาดไข่ ยาวเฉลี่ย 0.375 ± 0.013 เซนติเมตร  กว้าง  0.013 ± 0.008 เซนติเมตร มีฝารูปวงกลมจะเปิดเมื่อตัวอ่อนฟักออกจากไข่
         ตั๊กแตนใบไม้ตัวเมีย ปกติจะไข่ต่อเนื่องกันเกือบทุกวัน อีกทั้งพบว่าตัวเมียจากธรรมชาติที่เลี้ยงตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อน สามารถออกไข่ได้โดยไม่ผ่านผสมพันธุ์กับตัวผู้ 

             ระยะเวลาที่ใช้ในการฟัก
         พฤติกรรมการฟักไข่ ตัวอ่อนจะฟักออกจากไข่เกือบทุกวันต่อเนื่องกัน ตัวอ่อนฟักออกจากไข่มากในช่วง 2 - 4 วันแรก ไข่จากตัวเมียที่ได้รับการผสมพันธุ์ พบว่ามีช่วงการฟักไข่และช่วงวันที่ตัวอ่อนออกจากไข่แตกต่างกันตามฤดูกาล ผลการศึกษาจากตัวเมียที่ได้รับการผสมพันธุ์ มีรายละเอียดดังนี้
         ตัวเมียตัวที่ 1 ออกไข่เมื่อวันที่ 31  พฤษภาคม 2549 มีระยะเวลาฟักไข่   81.9 ±  5.7 วัน ช่วงที่ฟักเป็นออกตัว  18 วัน
         ตัวเมียตัวที่ 2 ออกไข่เมื่อวันที่  3   กรกฎาคม 2549  มีระยะเวลาฟักไข่ 114.6 ±  8.2 วัน ช่วงที่ฟักเป็นออกตัว  20 วัน
         ตัวเมียตัวที่ 3 ออกไข่เมื่อวันที่  7   สิงหาคม 2549   มีระยะเวลาฟักไข่ 116.5 ± 19.8 วัน ช่วงที่ฟักเป็นออกตัว  61 วัน
                           ระยะเวลาที่ใช้ในการฟักไข่ ของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว เฉลี่ย 101.0 ± 11.2 วัน (จากตัวเมียตัวที่ 1 - 3)
        ตัวเมียตัวที่ 4 ออกไข่ กันยายน 2549 ระยะเวลาที่ใช้ในการฟักไข่ ของไข่ที่ไม่ได้รับการผสม 260 วัน (ไข่ฟองแรกที่ฟักออกเป็นตัวอ่อน)
 
         
               ระยะเวลาที่ใช้ในการเจริญเติบโตจนเป็นตัวเต็มวัย
         ผลจากการศึกษาในครั้งนี้ พบว่า มีตัวอ่อนที่ได้จากจากตัวอ่อน ที่ฟักจากไข่ของตัวเมียตัวที่ 1 เพียง 1 ตัว (ฟักจำนวน 14 ตัว รอดตาย 3 ตัว)  มีระยะเวลาของการพัฒนาเป็นตัวเต็มวัยนาน 287 วัน

มารู้จักมด กัน เต้อะ

                        มดเป็นแมลงชนิดหนึ่งในตระกูล Formicidae เราพบเห็นมดในทุกหนแห่ง นอกจากใน ทวีปแอนตาร์กติกาที่มีน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี มดเป็นสัตว์สังคมที่มีความสามารถหลายด้าน และมีพฤติกรรมที่น่าสนใจมาก ถึงระดับที่ทำให้มันเป็นสัตว์ที่คนสนใจศึกษามากที่สุด
              
ถึงแม้มดจะมีน้ำหนักตัวเบาเมื่อเทียบกับคนก็ตาม แต่ถ้าเราชั่งน้ำหนักของมดทั้งโลก เราก็จะพบว่ามันมีน้ำหนักพอๆ กับคนทั้งโลกทีเดียว
นักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดว่ามดมีวิวัฒนาการจากแมลงดึกดำบรรพ์ที่ดำรงชีวิตเป็นกา ฝากตามตัวแมลงชนิดอื่น และถือกำเนิดเกิดมาบนโลกเมื่อประมาณ 40 ล้านปีมาแล้ว
แต่ในวารสาร Nature ฉบับวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมานี้ D. Agosti แห่ง American Museum of Natural History ที่ New York ในสหรัฐอเมริการและคณะได้รายงานว่าเขาได้ พบซากฟอสซิล ของมดที่มีอายุถึง 92 ล้านปี ซึ่งนับว่าดึกดำบรรพ์กว่าที่คิดเดิมถึง 2 เท่าตัว ในยางสนของต้นไม้ต้นหนึ่งในรัฐ New Jersey สหรัฐอเมริกา ซากมดที่เขาพบนี้เป็นซากของ มดงานตัวเมีย 3 ตัว และตัวผู้ 4 ตัว มดกลุ่มนี้มีอวัยวะและต่อมาของร่างกายที่ชัดเจนว่าเป็น มด เช่น มีต่อม metapleural ที่ทำหน้าที่ขับสารปฏิชีวนะออกมาเพื่อปกป้องมดมิให้เป็น อันตรายจากการถูกจุลินทรีย์คุกคาม จึงทำให้มันสามารถดำรงชีพอยู่ใต้ดินหรือตามต้นไม้ที่ เน่าเปื่อยได้สบายๆ และยังใช้สารเคมีที่ขับออกมาจากต่อมนี้ในการติดต่อสื่อสารถึงกัน อันมี ผลทำให้มันเป็นสัตว์สังคมที่ดีที่สามารถ ในที่สุด Agosti และคณะจึงคาดคะเนว่า มดคงถือ กำเนิดเกิดมาบนโลกเมื่อ 130 ล้านปีก่อน ซึ่งยุคนั้นเป็นยุคที่นักธรณีวิทยาเรียกว่ายุค Cretaceores และเป็นยุคที่ไดโนเสาร์ยังครองโลกอยู่ แต่มดก็มิได้มีบทบาทสำคัญทันทีทันใด มดเริ่มมีความหลากหลายทางชีวภาพในยุคต่อมาคือยุค Tertiary คือ เมื่อไดโนเสาร์สูญพันธุ์ ไปจนหมดสิ้นแล้ว ปัจจุบันมดมีความสำคัญต่อระบบนิเวศของโลกมาก โดยเฉพาะในบริเวณ เขตร้อนของโลกป่าดงดิบ ในเขตนี้จะขาดมดไม่ได้เลย
             โครงสร้างของมดนั้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนกลาง และส่วนท้อง
1. ส่วนหัว ส่วนหัวของมด มีหลายรูปร่าง เช่น รูปร่างห้าเหลี่ยม รูปร่างมังกรต หรือวงรี ซึ่งมีส่วนที่สำคัญอีกคือ
   * หนวด หนวดของมดนั้นแตกต่างจากแมลงกลุ่มอื่น คือ หนวดของมดจะม้วนเข้าศอก เว้นแต่มดสายพันธุ์ Fomisintos ที่จะมีลักษณะการม้วนหนวดเหมือนแมลงชนิดอื่นๆ หนวดมด มีหน้าที่รับรู้สื่อสารและรายงานสถาณภาพต่างๆของบริเวณนั้นๆ ในการสื่อสารมดจะใช้หนวดมาสัมพัมผัสกันเป็นการสื่อสารแบบ ลอย (Emando) หนวดของมดจะแบ่งออกเป็นปล้องๆ ซึ่งแล้วแต่ประเภท วรรณะของมด ซึ่งแบ่งออกดังนี้
มดราชินี (Queen Ant) มีหนวดประมาณ 210-254 ปล้อง
มดเพศผู้ (Male Ant) มีหนวดประมาณ 117-163 ปล้อง
มดเพศเมีย (Female Ant) มีหนวดประมาณ 131-155 ปล้อง
มดงาน (Worker Ant) มีหนวดประมาน 83 -117 ปล้อง
   * ตา แบ่งได้เป็นสองประเภทคือ ตารวมและ ตาเดี่ยว
ตารวม คือ ตาที่มีอยู่เป็นคู่ อาจมีลักษะอื่นๆด้วย เช่น ตาเป็นมี ตา 2คู่ และไม่จำเป็นต้องอยู่บริเวณข้างหน้าเสมอไป มดส่วนใหญ่จะมีตาเป็นประเภทตารวม
ตาเดี่ยว คือ ตาที่ไม่ใช่คู่ ส่วนใหญ่ จะมีสามตา และอยู่บริเวณล่างของหนวด
   * ปาก ปากของมดจะมีอยู่สองลักษณะ คือ แบบกัดกิน (Thorix) และปากแบบลักษะดูด (Thorase)
ปากแบบกัดกิน จะมีลักษณะเป็นฟันสองซี่ จะคมมาก พบได้ในมดงาน
ปากแบบลักษณะดูด จะมีไวสำหรับ ดูน้ำหวาน ตามเกสร พบในมดเพศเมีย และมดราชินี
2. ส่วนกลาง ส่วนกลางเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่าง ส่วนท้อง และส่วนหัว โดยมากจะเป็นทรงกระบอก อาจมีตุ่มหนามอยู่ด้วย
3. ส่วนท้อง เป็นส่วนที่อยู่ท้ายสุดของมด บางชนิดจะแตกออกเป็น 2 ส่วน เรียกว่า Wasted twin ซึ่งมดบางชนิดอาจมีเหล็กใน และบางชนิดก็มีช่องไว้ปล่อยสารป้องกันตัว

มดตัดใบไม้สามารถยกของที่หนักกว่าตัวมันถึง 50เท่าได้ ซึ่งก็เหมือนกับการที่คนๆหนึ่งสามารถยกรถบรรทุกได้อย่างสบาย