วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หนอนนก

 หนอนนก (Mealworm) เป็นตัวอ่อนของแมลงชนิดหนึ่งชื่อว่า Meal-Beetle มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tenebrio molitor เป็นหนอนที่มีลำตัวสีน้ำตาลอ่อน ผอมยาว มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกยาว และจะเป็นดักแด้ก่อนที่จะกลายเป็นตัวเต็มวัยที่มีลักษณะแบบแมลงปีกแข็ง สีดำ เป็นแมลงศัตรูผลผลิตทางการเกษตรในยุ้งฉางของประเทศแถบหนาวหรือค่อนข้างหนาว เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และวงจรชีวิตช่วงที่เป็นตัวหนอนของแมลงชนิดนี้ยาวมาก จึงนิยมนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ปีก รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงอื่นๆ อย่างแพร่หลาย เป็นแมลงที่ชอบอากาศหนาว และต้องการความชื้นสูง แม้กระนั้นก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับอากาศประเทศไทยได้อย่างดี ในบางประเทศอาจจะมีการบริโภคหนอนนกด้วยนอกเหนือจากการให้เป็นอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งในไทยเองก็มีบางแห่งที่บริโภคหนอนนก แต่ผมเคยได้ยินบางคนก็ว่ากินแล้วคัน ความจริงเป็นเช่นไรอันนี้ไม่ทราบจริงๆ ไม่เคยคิดจะกินเลยครับบอกไม่ถูก กึ๋ย~~

 อาหารหลักที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงคือ รำ ในประเทศเขตหนาวจะใช้รำข้าวสาลีซึ่งให้ผลผลิตดีกว่ารำข้าวเจ้า และหาได้ง่าย แต่ในไทยการใช้รำข้าวสาลีมีการใช้ในวงจำกัดเนื่องจากข้าวสาลีเราต้องนำเข้ามา และมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรำข้าวเจ้าที่สามารถหาได้จากแทบทุกแห่งในไทย แต่รำทั้ง 2 ชนิดที่ใช้ก็ไม่แตกต่างกันมากในแง่ของความคุ้มทุนและผลผลิต ส่วนการเก็บรักษาของผู้เลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่มักให้อาหารสัตว์เม็ดสำเร็จรูป หรือเศษผักเนื่องจากสะดวก และหาง่ายกว่ารำ
วาวน่ากินนะ

มารู็จักต่อหัวเสือกัน

ข้อมูลทั่วไป
            เป็นแมลงที่อยู่ในอันดับ Hymenoptera  ต่อเป็นแมลงที่มีพิษจัดเป็นสัตว์ประเภท Omnivorous คือ เป็นแมลงที่กินสัตว์ เช่น ตัวอ่อนแมลงอื่น ซากสัตว์ เป็นอาหาร และยังจัดเป็นแมลงตัวห้ำ (Predator) อีกทั้งเป็นแมลงที่ดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ต่อหัวเสือมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่อยู่ลำพัง หรืออยู่เป็นรวมกันเป็นแมลงสังคม (Social wasp) ส่วนต่อที่สร้างรังขนาดใหญ่มีหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นรูปทรงกลมใหญ่ มักอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ เช่น ต่อหัวเสือ ต่อรัง ต่อขวด และต่อหลวง ต่อเป็นแมลงพบได้ทุกภาคของประเทศไทย ในประเทศไทย พบ 18 ชนิด
ต่อ ชนิดที่อยู่รวมกันเป็นแมลงสังคม มีการแบ่งวรรณะ ประกอบด้วยเพศผู้ ซึ่งต่อราชินีและต่องาน เป็นเพศเมีย  นักวิทยาศาสตร์พบว่า  ไข่ที่ได้รับการผสมจะเจริญเติบโตเป็นเพศเมีย ส่วนไข่ที่ไม่ได้รับการผสมเจริญเติบโตเป็นเพศผู้
ต่องาน มีหน้าที่หาอาหาร ป้องกันรัง ดูแลราชินี และตัวอ่อนภายในรัง
ต่อราชินีเป็นเพศเมียที่สามารถสืบพันธุ์ได้ ในรังต่อจะมีต่อราชินีที่เป็นแม่ 1 ตัว  จะพบต่อราชินีที่เป็นลูกอีกหลายตัว ส่วนใหญ่แล้วจะพบในช่วงฤดูกาลการผสมพันธุ์เพื่อสร้างรังใหม่
การป้องกันรังของ ต่อหัวเสือ พวกมันจะต่อยพร้อมกับการฉีดพิษ ต่อตัวที่ต่อยได้ ทุกตัวเป็นต่อเพศเมียเท่านั้นเพราะมีเหล็กใน ที่ถูกพัฒนามาจากอวัยวะในการวางไข่ การต่อยนอกจากเป็นการป้องกันตัว ป้องกันรังแล้วต่อบางชนิดยังสามารถใช้ในการล่าเหยื่อโดยการต่อยให้เหยื่อสลบก่อนจะคาบเหยื่อไปกินเป็นอาหารที่รังต่อไป
วงจรชีวิต
                การเจริญเติบโตของ ต่อ ตั้งแต่ตัวอ่อนซึ่งเป็นมีสภาพเป็นตัวหนอน (larva) ฟักออกมาจากไข่ ต้องผ่านระยะตัวหนอน หลายระยะ โดยตัวหนอนมีปากเป็นแบบกัด หนอนในระยะ สุดท้ายจะเริ่ม หยุดกินอาหารและเคลื่อนไหวน้อยลงเรียกหนอนในระยะนี้ว่า ระยะเตรียมเข้าดักแด้ (prepupa or pharate pupa)   จากนั้นจะเข้าดักแด้ (pupation) จนเป็นตัวเต็มวัยมีปีกบินได้นั้น จัดอยู่ในประเภทการลอกคราบ หรือการถอดรูปสมบูรณ์แบบ (holometabolous or complete metamorphosis)  การถอดรูปในลักษณะนี้มักพบได้ในกลุ่มแมลงที่มีวิวัฒนาการสูงวงจรชีวิตมีการพัฒนาการในระยะต่างๆ ที่สำคัญรวม 4 ระยะ คือ ระยะไข่  ระยะตัวอ่อน หรือ หนอน    ระยะดักแด้    ระยะตัวเต็มวัย
ลักษณะตัวเต็มวัย
            ต่อหัวเสือ ลำตัวมีสีดำแต้มด้วยสีเหลือง หรืออาจมีสีน้ำตาล ท้องมีแถบสีส้มปนเหลืองเห็นได้ชัดเจน มีขนาดลำตัว 2.7 -3.50  เซนติเมตร มีปีกสีน้ำตาลบางใส 2 คู่ ปีกคู่หลังมีขนาดเล็กกว่าปีกคู่หน้ามาก มีเขี้ยวที่กางออกทางข้าง 2 ข้าง ต่อหัวเสือ เป็นแมลงนักล่าที่น่าเกรงขาม สีเหลืองของมันบ่งบอกถึงภัยอันตราย สีดำแทนความแข็งแกร่งอดทนต่อหัวเสือ
รังต่อหัวเสือ จะร้างราวช่วงเดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม เนื่องจากเมื่อนางพญาหมดอายุขัย และนางพญาใหม่ที่เกิดขึ้น จะออกหาคู่ และไปสร้างอาณาจักรของพวกมันเอง ทิ้งพี่ๆน้องๆของมันให้ผจญชะตากรรม จากสภาพที่ไร้ผู้ปกครอง ที่รอแต่จะแตกสลายไปในเวลาไม่นาน 
ญาติของมัน ต่อหัวเสือหลุม (V.tropica) มีพฤติกรรมนักล่าที่ดุดันกว่าต่อหัวเสือมาก  มักเข้าจู่โจมรังต่อหัวเสือบ้าน และ รังของแตน เพื่อล่าเอาตัวอ่อนไปเป็นอาหาร จนทำให้ต่อหัวเสือบ้าน และแตน แตกรัง ต้องทิ้งรังไปสร้างที่อยู่ใหม่ เรา จึงมักพบต่อหลุมบินอยู่บริเวณบ้านด้วยเช่นกัน

สามารถแบ่งการเป็นพิษจากตัวต่อได้เป็น 3 ลักษณะ ตามกลไกการเกิดพิษ คือ
1.   การเป็นพิษโดยตรง (direct toxicity) ของพิษต่อเนื้อเยื่อต่างๆทั้งที่เป็นเฉพาะที่ (local) และทั่วร่างกาย (systemic)
2.   ปฏิกิริยาภูมิต้านทาน (immunological reaction) เกิดจากการกระตุ้น mast cell , การสร้าง IgG , IgE ทำให้เกิด serum sickness และ anaphylaxis
3.   กลไกที่ยังไม่ทราบ เช่น การทำอันตรายต่อระบบ ประสาท , หลอดเลือดและไต 

การรักษาอาการพิษจากแมลงใน Order Hymenoptera (ผึ้ง  ต่อ  แตน)
เมื่อได้รับพิษให้ประคบด้วยน้ำแข็ง หรือให้ยาระงับอาการปวด ให้รับประทานยาแก้แพ้(Antihistamine) และ corticosteroid เพื่อลดอาการอักเสบและอาจให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนด้วยก็ได้ ในบางรายที่มีอาการรุนแรงให้รีบนำส่งโรงพยาบาลความรุนแรงของพิษนั้น จะผันแปรตามจำนวนแผลที่ถูกต่อย ปริมาณพิษที่ได้รับต่อน้ำหนักตัว อายุ และประวัติการแพ้
การรักษาเมื่อได้รับพิษจากแมลงกัดต่อย หากพิษไม่มีความรุนแรง เช่น มีอาการผื่นคัน มีตุ่มน้ำ เป็นจุดแดงๆ เล็กๆ หรือมีอาการคัน ก็อาจใช้สมุนไพรบรรเทาอาการได้ เช่น ขมิ้นชัน ตำลึง  ผักบุ้งทะเล พญายอ เสลดพังพอน

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

เเมงป่อง

แมงป่องมีกี่ชนิด
ในเมืองไทย ปัจจุบันพบแมงป่อง 11 ชนิด แต่คาดว่าน่าจะมีมากกว่านี้
แมงป่องที่รู้จักกันทั่วไปน่า จะเป็น ” แมงป่องช้าง ” ทั่วโลกพบประมาณ
1,100 ชนิด

ถิ่นอาศัยเป็นแบบไหน
ถิ่นอาศัยของแมลงป่องมีตั้งแต่ในทะเลทรายถึงป่าเขตร้อนชื้น
สามารถพบแมงป่องในสถานที่หลากหลายเช่นกัน เช่น ใต้ขอนไม้
ใต้เศษไม้ใบหญ้า และฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เป็นต้น
แมงป่องกินอะไร (อาหารของแมงป่อง)
อาหารของแมงป่องจะขึ้นอยู่กับชนิดของแมงป่อง
แต่เนื่องจากแมงป่องส่วนใหญ่เป็นสัตว์ประเภท “นักล่า”
อาหารโดยทั่วไปจึงเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่าตัวมันเอง
ที่สามารถจับได้ แต่อย่างไรก็ตามแมงป่องบางชนิดจะมี
พฤติกรรมการล่าที่จำเพาะเจาะจง
เช่น แมงป่องอาฟริกาชอบกินกิ้งกือ
พฤติกรรมของแมงป่อง
เป็นการยากที่จะระบุลักษณะเฉพาะของพฤติกรรมปกติของแมงป่อง
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิด และแต่ละตัว โดยทั่วไปสามารถบอกได้ว่า
แมงป่องมีนิสัยเป็นนักล่า แมงป่องหลายชนิดชอบล่าในเวลากลางคืน
แมงป่อง ป้องกันตัวโดยใช้เหล็กไนที่ปลายหาง แทงศัตรู ทำให้เกิดการเจ็บปวด
ในธรรมชาติ แมลงป่องจะอาศัยอยู่เดี่ยว ๆ แต่มีบางชนิดที่นำมาเลี้ยงรวมกันได้
โดยไม่กินกันเอง
การสืบพันธุ์เพิ่มปริมาณแมงป่อง
แมงป่องเป็นสัตว์ที่มีเพศผู้และเพศเมีย (เช่นเดียวกับสัตว์ชนิดอื่น ยกเว้นบางชนิด)
การสืบพันธุ์เพิ่มจำนวนต้องมีการจับคู่ผสมพันธุ์ ของตัวผู้และตัวเมีย
การจับคู่ผสมพันธุ์ของแมงป่องเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากซึ่งมีลักษณะเฉพาะ
ในการเกี้ยวพาราสีระหว่างตัวผู้กับตัวเมีย (courtship dance)
ตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อลงดิน และเคล้าเคลีย ชักนำตัวเมียมาที่บริเวณนั้น
เพื่อนำน้ำเชื้อ ต่อมาอาจใช้เวลาเป็นปีในบางชนิด
ตัวเมียจะให้กำเนิดลูกเป็นตัวอ่อนแล้วจะเลี้ยงลูกโดยให้ลูกแมงป่องตัวเล็ก ๆ
จำนวนมากเกาะอยู่บนหลังเต็มเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่ลูกแมงป่อง
เหล่านั้นเคลื่อนย้ายกระจายออกไมเคยเห็นแมงป่องออกลูกไหม